10 สิ่งในธรรมชาติที่เรืองแสงได้ในที่มืด
1. หิ่งห้อย
ทิ้งถ่วงมีอวัยวะทำแสงอยู่บริเวณส่วนท้องด้านล่าง เพศผู้มีอวัยวะทำแสง 2 ปล้อง เพศเมียมี 1 ปล้อง แต่บางชนิดตัวเต็มวัยเพศเมียมีรูปร่างลักษณะคล้ายหนอน มีอวัยวะทำแสงด้านข้างของลำตัว เกือบทุกปล้องแสงของทิ้งถ่วงเกิดจากปฏิกิริยาของสารลูซิเฟอริน (Luciferin) ที่อยู่ในอวัยวะทำแสงกับออกซิเจน มีเอนไซม์ลูซิเฟอเรส (Luciferase) เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา และมีสารอดีโนซีนไตรฟอสเฟต (Adenosine Triphosphate,ATP) เป็นตัวให้พลังงานทำให้เกิดแสง ทิ้งถ่วงกะพริบแสงเพื่อการผสมพันธุ์และสื่อสารซึ่งกันและกัน
2. แมงกระพรุนคริสตัล
Aequorea Victoria เป็นที่รู้จักในนามแมงกะพรุนคริสตัลมีความโปร่งใส พบน้ำชายฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือ มีหนวด ซึ่งช่วยในการจับภาพของเหยื่อ มีโปรตีนที่เรียกว่า GFP ถูกนำมาใช้ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์อย่างการสร้างกระต่ายเรืองแสง นอกจากนี้ยังได้รับประโยชน์ในการศึกษากระบวนการของเซลล์เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกในวิธีการแก้ปัญหาสุขภาพที่รุนแรง
3. ปลาแองเกลอร์
ปลาแองเกลอมีขนาดรูปร่างไม่ใหญ่นัก รูปร่างที่ใหญ่ที่สุดที่เคยพบมาจะมีขนาดประมาณ 4 ฟุต ร่างเป็นทรงกลม ปากกว้างและมีฟันจำนวนมาก พวกมันใช้วิธีการ สร้างอวัยวะที่ทำหน้าที่พิเศษขึ้นมา ด้วยการดัดแปลง ครีบหลังอันแรกเป็นเส้นเนื้อโผล่ขึ้นมาบริเวณหัวดูคล้าย คันเบ็ดตกปลาบนหน้าผาก ปลายเบ็ดมีลักษณะเป็น กระเปาะเพื่อเก็บแบคทีเรียซึ่งเรืองแสงในที่มืดได้ นั่นคือ แบคทีเรียวิบริโอ ฟิสเชอรี เจ้ากระเปาะนี้จะมีชื่อว่า esca เมื่อปลาแองเกลอต้องการล่าเหยื่อ มันจะ กระตุ้นให้แบคทีเรียดังกล่าวเกิดการเรืองแสง พร้อมทั้ง แกว่งกระเปาะไปมา เหมือนเบ็ดตกปลาเพื่อใช้ในการล่อเหยื่อให้มาติดกับดัก เมื่อเหยื่อว่ายน้ำเข้ามาใกล้ๆ ปลาแองเกลอจะกินเหยื่อเป็นอาหารทันที่ ซึ่งพฤติกรรมในการล่าเหยื่อเช่นนี้ เป็นที่มาของชื่อ “Angler” ซึ่ง หมายถึง “ผู้ตกปลา”
4. ปลาออสทราคอดส์
จะพ่นแสงออกจากปากได้ เมื่อมันถูกคุกคาม
5. กิ้งกือแคลิฟอเนียร์
มีล้าตัวเรืองแสง และยิ่งมันถูกรบกวน แสงจะยิ่งสว่างขึ้น แถมมันยังปล่อยไซนาไนด์ที่เป็นพิษออกมาได้อีกด้วย
นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันพบกิ้งกือเรืองแสง คาดต้องจัดอยู่ในสกุล (genus) ใหม่
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 สำนักข่าวเอบีซี รายงานข่าวนักวิทยาศาสตร์จากสถาบัน Virginia Obispo
รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา พบกิ้งกือ Xystocheir bistipita บริเวณเชิงเขา San Luis Obispo ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี กิ้งกือดังกล่าวเป็นกิ้งกือขนาดเล็กและตาบอด ยามกลางวันจะมีสีแทนและมีจุดสีชมพู (salmon pink spot) ขณะที่กลางคืนจะเรืองแสงสีเขียวแกมฟ้า เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาสารพันธุกรรมของ X. bistipita กลับพบว่ากิ้งกือสายพันธุ์นี้มีควรอยู่ในสกุล Motyxia ซึ่งเป็นกิ้งกือกลุ่มที่มีการเรืองแสงทางขีวภาพ (bioluminescence) นักวิทยาศาสตร์เตรียมเสนอให้เปลี่ยนชื่อจาก Xystocheir bistipita เป็น Motyxia bistipita
การศึกษากิ้งกือสายพันธุ์เรืองแสงพบว่าหากความสว่างมาก ร่างกายของกิ้งกือก็จะมีความเป็นพิษสูง การเรืองแสงของกิ้งกือจึงเป็นเสมือนการป้องกันตัวทางหนึ่ง ขณะที่ M. bistipita มีศัตรูผู้ล่าเป็นจำนวนน้อย นักวิทยาศาสตร์จึงตั้งข้อสันนิษฐานว่าปฏิกิริยาเคมีจากการเรืองแสงภายในร่างกาย (photoprotein) อาจช่วยกิ้งกือให้สามารถดำรงชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่อากาศร้อนและแห้งแล้งได้
6. หนอนรถไฟ
จะเปล่งแสงเป็นจุด ที่มีด้วยกันถึง 8คู่ ท้าให้มันดูโดดเด่นในยามค่้าคืน
7. เห็ดทริปปี้
ถูกค้นพบในแถบป่าดงดิบของประเทศบราซิล มันสามารถเปล่งแสงได้อยู่ตลอดเวลา จนได้ฉายาว่า “แสงแห่งนิรันดร์”
8. เชื้อราลึกลับ
มีฉายาว่า “แสงไฟแห่งป่า” ถูกพบในประเทศมาเลเซีย โดยมันมีขนาดเพียงแค่ 18 มิลลิเมตรเท่านั้น
9. หอยทากครัสเตอร์วิงค์
จะเปล่งแสงออกจากเปลือกของมัน เพื่อใช้ในการป้องกันตัวเอง
10. เชื้อราเรืองแสง
โดยถ้ำนี้ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1887 โดย Fred Mace ชาวอังกฤษมีการการนำของหัวหน้าชาวเมารีในแถบนั้นชื่อ Tane Tinorau ต่อมามีการแพร่กระจายออกไปถึงความงามของถ้ำไวโตโม และหนอนเรืองแสง จึงมีผู้คนหลั่งไหลมาชมกันอย่างมากมายภายในถ้ำนั้นเป็นที่อยู่ของหนอนเรืองแสงนับล้านตัว ประกอบไปด้วย 3 ถ้ำหลักคือ Ruakuri Cave, Aranui Cave และ Gardner's Gut ทั้งหมดมีหินงอก หินย้อย และ หนอนเรืองแสงที่งดงามมากๆ
ที่มา http://petmaya.com/glow-in-the-dark-nature
ขอบพระคุณครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น