วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558

10 สุดยอด พลังมด Ant man 



                 เจ้ามดตัวน้อยตัวนิด แต่แฝงด้วยพลังอันแสนร้ายกาจ เราลองมาดู10 สุดยอดพลังของมด ที่เมื่อคุณรู้แล้วต้องต้องมีอึ้งกันบ้างอย่างแน่นอน



1. Tunnel Power


 
                  มดนั้นเป็นสัตว์นักขุดเจาะโดยธรรมชาติ มันสามารถทำได้หลายหน้าที่ทั้งขนย้าย ตัดชิ้นส่วน ปรับพื้นผิวเพื่อให้เหมาะแก่การสร้างอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ โดยใช้ขากรรไกร ขา และหนวดในการแต่งทรงดิน/ทรายให้เป็นก้อนกลมเล็กคล้ายลูกบอล แล้วค่อยๆ ลำเลียงขึ้นไปยังพื้นผิวดิน สร้างเป็นเนินรังมดขึ้นมา ที่สำคัญมันยังทำแบบนี้ได้แบบนอนสต็อป แทบจะไม่ต้องหยุดพักกันเลย



2. MASS ATTACKS




                  มดตัวเดียวเดี่ยวๆ คงไม่เท่าไหร่ แต่หากมันมารวมตัวกันเป็นฝูงขึ้นมาล่ะก็จะกลายเป็นสุดยอดนักล่าที่แม้แต่คนตัวโตยังต้องหนีกระเจิง  ความจริงแล้วมดเป็นสัตว์ที่สายตาแย่ที่สุด จะบอกว่าตาบอดเลยก็ว่าได้ แต่อาศัยการล่ารวมกันเป็นฝูงนี่เอง มันจึงล่าได้ตั้งแต่แมลง นกตัวเล็ก หรือกระทั่งมนุษย์ที่ไม่ทันระวังตัว



3. MOUND BUILDING


 
                 ถ้าลองเทียบไซส์กับคนล่ะก็ มดจะเป็นสัตว์นักก่อสร้างที่อัจฉริยะที่สุด ขนาดความสูง (ลึก) ของรังมดนั้นเทียบเท่ากับตึกสูงระฟ้าที่คนสร้าง ที่สำคัญมดไม่ต้องใช้แบบแปลน หรือคนคุมงานมาคอยบอกให้ทำอะไรด้วย แถมยังทำงานกันแบบลืมวันลืมคืนอีกต่างหาก



4. CHEMO-COMMUNICATION



                 แม้มดจะไม่มีภาษาพูด แต่พวกมันก็สื่อสารกันด้วยหนวดแทน ซึ่งสามารถปล่อยสารเคมีที่มีลักษณะเฉพาะ แล้วแต่เรื่องที่ต้องการสื่อสาร เช่น เตือนฝูงให้ทราบเมื่อรังถูกโจมตี หรือบอกเส้นทางที่จะนำไปสู่แหล่งอาหาร เป็นต้น



5. SURVIVAL RAFTS



                    หนึ่งในฉากเด่นจากเรื่อง Ant Man ที่เราเห็นแล้วแอบขำ แต่ความจริงแล้วมดมันต่อตัวเป็นแพลอยน้ำได้จริงๆ นอกจากจะใช้เพื่อเดินทางข้ามน้ำที่ขวางอยู่แล้วยังใช้เป็นแพชูชีพในยามที่เกิดเหตุน้ำท่วมได้อีกด้วย



6. BITE POWER


 
                  ข้อนี้ใครเคยโดนมดตะนอยกัดมาน่าจะรู้ซึ้งดี แทบจะรู้ซึ้งถึงวลีที่ว่า "ทนหน่อย เจ็บนิดเดียวเหมือนมดกัด" นั้นมันโกหกทั้งเพ แถมถ้ามาเจอของจริงอย่าง "Bullet Ant" หรือมดกระสุนแล้วล่ะก็  คุณอาจถึงขั้นร้องขอชีวิตแน่ สมชื่อของมันคือต่อยเจ็บเหมือนโดนกระสุนปืนยิง ขนาดลำตัวก็ยาวตั้งแต่ 1.8-3 ซม.เลย พิษของมันแม้ไม่อันตรายถึงชีวิตแต่ก็ทำให้ผู้ถูกกัดถึงขั้นอัมพาตชั่วคราวไปเลย



7. TINY GARDENERS



                       นอกจากจะสร้างบ้านแล้ว มดยังชอบทำสวนด้วยนะ แปลกนิดนึงที่ว่าเป็นสวนเพลี้ยนี่แหละ นับเป็นการทำงานร่วมกับข้ามสปีชีส์ที่น่าสนใจไม่หยอก โดยเจ้ามดจะคอยดูแลเพลี้ยไม่ให้สัตว์นักล่าชนิดอื่นมาจับกิน ส่วนเจ้าเพลี้ยก็จะตอบแทนมดด้วยการให้น้ำหวานที่ได้จากการเกาะกินต้นไม้มานั่นเอง



8. BRIDGE BUILDERS

 


                   มดนั้นไม่ได้อยู่แค่บนดินเท่านั้น บางชนิดอาศัยทำรังบนต้นไม้ใบไม้ แล้วเมื่อถึงคราวต้องสัญจรข้ามระหว่างใบไม้หรือข้ามสิ่งกีดขวาง พวกมันก็จะต่อตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นทางยาวเพื่อสร้างสะพานมด แถมมันยังเกาะอยู่ได้นานเป็นชั่วโมงอีกด้วย ซึ่งหากลองเป็นมนุษย์ล่ะก็คงได้แค่ไม่กี่นาทีแน่ๆ



9. COLONY CONTROL




              มดนั้นอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก แต่ละตัวจะแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน ตั้งแต่มดงาน มดลาดตระเวน มดทหาร และราชินี ทั้งหมดนี้ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง พวกมันต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเพื่ออยู่รอด และทุกหน้าที่มีความสำคัญอย่างเท่าเทียมกัน นั่นจึงทำให้มดเป็นสัตว์สังคมที่มีความซับซ้อนที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง



10. SAUSAGE FLIES



               ในสังคมของมดแล้ว มดตัวผู้นั้นถือว่ามีประโยชน์น้อยที่สุด พวกมันคงอยู่เพียงเพื่อผสมพันธุ์ (แล้วก็ตายอย่างรวดเร็ว) แต่ก็มีบ้างที่ได้มีส่วนร่วมในงานป้องกันรัง และเลี้ยงดูตัวอ่อนมดแรกเกิด ความพิเศษของมดตัวผู้อีกอย่างคือจะมีปีกบินได้ ใช้บินสำรวจตรวจตราบริเวณรอบๆ ลำตัวของมันจะมีขนาดใหญ่มากจนมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “sausage flies”


ที่มา http://campus.truelife.com/detail/3318545

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

5 สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดยโสธร


1 พระธาตุยโสธร



                  ตั้งอยู่ภายในเขตเทศบาลเมือง โบราณสถานที่สำคัญในวัดคือพระพุทธบุษยรัตน์ หรือพระแก้วหยดน้ำค้าง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะสมัยเชียงแสน เป็นพระบูชาคู่บ้านคู่เมืองของยโสธรที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้า ฯ พระราชทานให้พระสุนทรราชวงศาเจ้าเมืองยโสธรคนแรก

                  พระธาตุยโสธร หรือพระธาตุอานนท์ ตั้งอยู่หน้าอุโบสถ เป็นพระธาตุรุ่นเก่าที่สำคัญองค์หนึ่งในภาคอีสาน เจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมส่วนยอดคล้ายพระธาตุพนม ภายในพระธาตุบรรจุอัฐิธาตุของพระอานนท์ การก่อสร้างได้รับอิทธิพลศิลปะลาวที่นิยมสร้างขึ้นเมื่อปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาถึงต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งตรงกับประวัติการตั้งเมืองและประวัติของวัดมหาธาตุฉบับหนึ่งว่า สร้างราว พ.ศ.2321 โดยท้าวหน้า ท้าวคำสิงห์ ท้าวคำผา ซึ่งเดิมเป็นเสนาบดีเก่าของกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) ต่อมาได้อพยพผู้คนภายใต้การนำของพระวอ พระตา ราว พ.ศ. 2313-2319 มาตั้งถิ่นฐาน ณ ที่นี้

                  ลักษณะพระธาตุ ฐานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวด้านละ 81 เมตร ก่ออิฐถือปูนเอวฐานคอดเป็นรูปบัวคว่ำบัวหงาย เหนือขึ้นไปเป็นเรือนธาตุ มีซุ้ม 4 ทิศ ประดิษฐานพระพุทธรูปประทับยืน ส่วนยอดธาตุมียอดปลีเล็กแซมทั้ง 4 ด้าน ยอดกลางทรงสี่เหลี่ยมสอบ มี 2 ชั้น รูปแบบการก่อสร้างคล้ายกับพระธาตุก่องข้าวน้อยและทางวัดจะจัดให้มีงานสมโภชพระธาตุอานนท์ขึ้นเป็นประจำทุกปีในเดือนมีนาคม

                  หอไตร เป็นที่เก็บคัมภีร์ใบลานของวัด ตั้งอยู่ตรงกลางสระทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระธาตุ แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ลักษณะแบบหอไตรภาคอีสานทั่วไป มีทางเดินโดยรอบติดกันใต้ชายคา บริเวณนี้เป็นที่เก็บรักษาตู้พระธรรม หีบพระธรรม เสลี่ยงชั้นวางคัมภีร์ซึ่งนำมาจากเวียงจันทน์ ซุ้มประตูและบานประตูไม้สลักลวดลายเครือเถาลงรักปิดทองอย่างสวยงาม การตกแต่งฝาผนังมีลวดลาย ซึ่งเป็นลักษณะผสมแบบภาคกลางสันนิษฐานว่า หอไตรน่าจะสร้างขึ้นประมาณสมัยรัชกาลที่ 4-5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์


2   บ้านสิงห์ท่า


                   บริเวณคุ้มบ้านสิงห์ท่า ซึ่งตั้งอยู่ภายในเขตเทศบาลเมืองเป็นย่านเมืองเก่าที่ปรากฏนามอยู่ในประวัติศาสตร์การก่อตั้งเมืองปัจจุบันในบริเวณดังกล่าวยังคงมีตึกแถวโบราณที่มีรูปทรงและลวดลายงดงามและได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีซึ่งเหมาะแก่การท่องเที่ยวด้านศิลปวัฒนธรรมพื้นเมือง

3  ภูถ้ำพระ


                    ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านกุดแห่ หรือกุดแห ตำบลกุดเชียงหมี ห่างจากอำเภอเลิงนกทา 12 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 212 และห่างจากอำเภอเมือง 85 กิโลเมตร ที่เรียกว่า “ภูถ้ำพระ” เนื่องจากมีพระพุทธรูปอยู่ในถ้ำจำนวนมาก ถ้ำพระนี้เป็นถ้ำใหญ่กว้างประมาณ 3 วา ยาวประมาณ 8 วา ตั้งอยู่ชะง่อนภูด้านทิศใต้ มีทางเข้าไปตามซอกหินเป็นอุโมงค์ จากปากถ้ำเลยไปทางทิศเหนือ สามารถเดินลอดไปได้บนภูเขาลูกนี้นอกจากจะมีบรรยากาศร่มเย็นและร่มรื่นไปด้วยป่าไม้หนาทึบแล้ว บริเวณโดยรอบยังมีถ้ำอื่นๆ อีก อาทิ ถ้ำเค็ง ถ้ำงูซวง ถ้ำเกลี้ยง และถ้ำพรหมบุตร


4   พระพุทธบาตรยโสธร


                 ตั้งอยู่ที่วัดพระพุทธบาทยโสธร บ้านหนองยาง ตำบลหัวเมือง ห่างจากที่ว่าการอำเภอประมาณ 6 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 2083 ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทเป็นเนินทรายขาวสูงงอกขึ้นกลางพื้นที่ลุ่มน้ำชีนับเป็นโบราณวัตถุอันล้ำค่าของจังหวัด บริเวณเดียวกันนี้ยังมีโบราณวัตถุอีกชิ้นหนึ่ง ได้แก่ พระพุทธรูปปางนาคปรก (ศิลาแลง) 1 องค์ ขนาดหน้าตักกว้าง 1 ศอก และหลักศิลาจารึกทำด้วยศิลาแลง 1 หลัก สูง 1 เมตร กว้าง 50 เซ็นติเมตร มีตัวหนังสือโบราณบันทึกไว้ว่า โบราณวัตถุทั้ง 3 อย่างนี้ พระมหาอุตตปัญญาและสิทธิวิหาริก ได้นำมาจากกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 1378 นอกจากนั้นก็เขียนบอกคำนมัสการพระพุทธบาทไว้ บางตัวก็อ่านไม่ออกเพราะเลือนลางมาก ในระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน ของทุกปี จะมีประชาชนจากอำเภอและตำบลใกล้เคียงไปนมัสการเป็นจำนวนมาก

5  พระธาตุก่องข้าน้อย


                 ตั้งอยู่ในทุ่งนา ตำบลตาดทอง ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 9 กม. ไปตามทางหลวงหมายเลข 23 (ยโสธร-อุบลราชธานี) ประมาณหลักกิโลเมตรที่ 194 เลี้ยวซ้ายไปอีก 1 กิโลเมตร

                 พระธาตุก่องข้าวน้อยเป็นเจดีย์เก่าสมัยขอม สร้างในพุทธศตวรรษที่ 23-25 ตรงกับสมัยอยุธยาตอนปลาย ตั้งอยู่ในเขตวัดพระธาตุก่องข้าวน้อย ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงทุ่งนาในเขตตำบลตาดทอง พระธาตุก่องข้าวน้อยเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน รูปทรงแปลกไปจากเจดีย์โดยทั่วไป คือมีลักษณะเป็นก่องข้าว องค์พระธาตุเป็นเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมไม้สาม ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ 2 เมตร ก่อสูงขึ้นไปประมาณ 1 เมตร ช่วงกลางขององค์พระธาตุมีลวดลายทำเป็นซุ้มประตูทั้งสี่ด้าน ถัดจากช่วงนี้ไปเป็นส่วนยอดของเจดีย์ที่ค่อยๆ สอบเข้าหากัน ส่วนยอดรอบนอกของพระธาตุก่องข้าวน้อยมีกำแพงอิฐล้อมรอบขนาด 5x5 เมตร นอกจากนี้บริเวณด้านหลังพระธาตุมีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่งก่อด้วยอิฐ ชาวบ้านนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก และในเดือนห้าจะมีผู้คนนิยมมาสรงน้ำพระและปิดทอง ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าไม่ทำเช่นนี้ฝนจะแล้งในปีนั้น

                พระธาตุก่องข้าวน้อยมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ ซึ่งผิดไปจากปูชนียสถานแห่งอื่นๆ ที่มักเกี่ยวพันกับเรื่องพุทธศาสนา แต่ประวัติความเป็นมาของพระธาตุก่องข้าวน้อยกลับเป็นเรื่องของหนุ่มชาวนาที่ทำนาตั้งแต่เช้าจนเพล มารดาส่งข้าวสายเกิดหิวข้าวจนตาลาย อารมณ์ชั่ววูบทำให้เขากระทำมาตุฆาตด้วยสาเหตุเพียงว่าข้าวที่เอามาส่งดูจะน้อยไปไม่พอกิน ครั้นเมื่อกินข้าวอิ่มแล้ว ข้าวยังไม่หมดจึงได้สติคิดสำนึกผิดที่กระทำรุนแรงต่อมารดาของตนเองจนถึงแก่ความตาย จึงได้สร้างพระธาตุก่องข้าวน้อยแห่งนี้ขึ้น เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลขออโหสิกรรมและล้างบาปที่ตนกระทำมาตุฆาต

                นอกจากนี้ที่บริเวณบ้านตาดทอง กรมศิลปากรได้ดำเนินการขุดค้นเรื่องราวของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ได้ค้นพบโครงกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และภาชนะลายเขียนสีแบบบ้านเชียงซึ่งกรมศิลปากรกำลังดำเนินการจัดตั้งอุทยานก่อนประวัติศาสตร์ขึ้น

ที่มา thai.tourismthailand.org
       


ท่าเตะพื้นฐานของเทควันโด


               เทคนิคการเตะของกีฬาเทควันโด นับว่าเป็นการเตะที่ classic ที่สุดในโลก ไม่นับการเตะที่หนักที่สุดในโลกคือ มวยไทย และท่าเตะที่คมที่สุดในโลก คือ คาราเต้

               แต่จุดเด่นของการเตะแบบ เทควันโด คือท่าเตะที่สวยงาม หรือบางคนอาจจะเรียกว่าเท่ห์ก็ได้ การเตะแบบเทควันโดยังเป็นการเตะที่มีความเร็ว และต้องอาศํยการฝึกที่ต้องความพยายาม และอาศัยสะโพกเป็นหลักในการส่งแรง อาศัยขาที่มีกล้ามเนื้อที่ยืดหยุ่นสูงในการเตะเพื่อสร้างกำลังและการเตะที่สมบูรณ์


ท่าเตะด้านหน้าของเทควันโด (Front Kick)


                 เน้นการยกเข่าข้างที่เตะให้สูง ยิ่งยกเข่าหรือแทงเข่าเร็วมากเท่าใดการเตะก็เร็วตามไปด้วยนะครับ และย่อเข่าข่างที่ยืดเล็กน้อยครับเพื่อการทรงตัวที่ดี เหยียดขาให้เต็มที่โดยใช้กำลังไปที่สะโพกและให้หลังเท้าเป็นอาวุธในการใช้ต่อสู้ครับ และพับขากลับด้วยความเร็วครับ เพื่อเตรียมตัวในการเตะครั้งต่อไปครับ


ท่าเตะด้านข้างของเทควันโด (Side Kick)


                  เน้นการยกเข่าข้างที่เตะ ยิ่งยกเข่าหรือแทงเข่าเร็วมากเท่าใดการเตะก็เร็วตามไปด้วยเช่นกัน และพลิกตัวให้สันเท้าชี้ไปหาเป้าหมาย ในลักษณะสันเท้าใกล้สะโพกพร้อมขาที่พับอยู่ ขนานกับพื้น ออกแรงทีบไปหาเป้าหมายให้เร็ว และหันหน้าตามองผ่านไหล่ และพับขากลับมาในท่าเริ่มต้น


ท่าเตะตวัดของเทควันโด (Round Kick)



                เช่นกัน เน้นการยกเข่าหรือแทงเข่าที่เร็ว พร้อมขาท่อนล่างเป็นจุดหมุนบิดสะโพกส่งแรงเตะตวัดออกไป อาวุธที่ใช้คือที่หลังเท้า หรือเป็นจมูกเท้า และพับขากลับมาในท่าเริ่มต้น


ท่าเตะกลับหลังของเทควันโด (Back Kick)



                พลิกตัวกลับหันหลัง พร้อมหันหน้ามองผ่านไหล่ ย่อตัวเล็กน้อยและยกเท้าขึ้นพร้อมพับเข่า หันฝ่าเท้าออกไปหาเป้าหมาย ทีบเท้าออกไปด้วยกำลังที่ส่งมาจากสะโพก พับขากลับมาอยู่ในท่าเริ่มต้น


ท่าเตะเหยียบลงของเทควันโด(Chop Kick)


                ยกเข่าสูงหรือแทงเข่าสูง พร้อมเหยียดเท้าให้สูง และตบลงอย่างรวดเร็ว โดยใช้ฝ่าเท้าตบลงสู่เป้าหมาย หรือบางคนอาจจะใช้ส้นเท้าฟันลงที่เป้าหมาย


เตะตวัดหลังของเทควันโด (Swing Back Kick)


                 หมุนตัวไปทางที่จะเตะเปิดเท้า ยกสะโพกไปทางเท้าเป้าหมาย ออกแรงตวัดเท้า พร้อมพับเข่างอเพื่อใช้ส้นเท้าฟาดไปที่เป้าหมายที่ใบหน้า หรือเป้าหมายตามที่ต้องการ


เตะเกี่ยวของเทควันโด (Hook Kick) (Swing Back Kick)


                  ยกขาข้างที่เตะลักษณะแบบเดียวกับการเตะ Side Kick และตวัดเท้าออกด้านนอก และออกแรงตบผ่าเท้าหรือส้นเท้า เข้าหาเป้าหมาย หรือตวัดเท้ากลับมาตำแหน่งเดิม


ที่มา http://www.floydtraining.com/%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94/