วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558

10 สุดยอด พลังมด Ant man 



                 เจ้ามดตัวน้อยตัวนิด แต่แฝงด้วยพลังอันแสนร้ายกาจ เราลองมาดู10 สุดยอดพลังของมด ที่เมื่อคุณรู้แล้วต้องต้องมีอึ้งกันบ้างอย่างแน่นอน



1. Tunnel Power


 
                  มดนั้นเป็นสัตว์นักขุดเจาะโดยธรรมชาติ มันสามารถทำได้หลายหน้าที่ทั้งขนย้าย ตัดชิ้นส่วน ปรับพื้นผิวเพื่อให้เหมาะแก่การสร้างอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ โดยใช้ขากรรไกร ขา และหนวดในการแต่งทรงดิน/ทรายให้เป็นก้อนกลมเล็กคล้ายลูกบอล แล้วค่อยๆ ลำเลียงขึ้นไปยังพื้นผิวดิน สร้างเป็นเนินรังมดขึ้นมา ที่สำคัญมันยังทำแบบนี้ได้แบบนอนสต็อป แทบจะไม่ต้องหยุดพักกันเลย



2. MASS ATTACKS




                  มดตัวเดียวเดี่ยวๆ คงไม่เท่าไหร่ แต่หากมันมารวมตัวกันเป็นฝูงขึ้นมาล่ะก็จะกลายเป็นสุดยอดนักล่าที่แม้แต่คนตัวโตยังต้องหนีกระเจิง  ความจริงแล้วมดเป็นสัตว์ที่สายตาแย่ที่สุด จะบอกว่าตาบอดเลยก็ว่าได้ แต่อาศัยการล่ารวมกันเป็นฝูงนี่เอง มันจึงล่าได้ตั้งแต่แมลง นกตัวเล็ก หรือกระทั่งมนุษย์ที่ไม่ทันระวังตัว



3. MOUND BUILDING


 
                 ถ้าลองเทียบไซส์กับคนล่ะก็ มดจะเป็นสัตว์นักก่อสร้างที่อัจฉริยะที่สุด ขนาดความสูง (ลึก) ของรังมดนั้นเทียบเท่ากับตึกสูงระฟ้าที่คนสร้าง ที่สำคัญมดไม่ต้องใช้แบบแปลน หรือคนคุมงานมาคอยบอกให้ทำอะไรด้วย แถมยังทำงานกันแบบลืมวันลืมคืนอีกต่างหาก



4. CHEMO-COMMUNICATION



                 แม้มดจะไม่มีภาษาพูด แต่พวกมันก็สื่อสารกันด้วยหนวดแทน ซึ่งสามารถปล่อยสารเคมีที่มีลักษณะเฉพาะ แล้วแต่เรื่องที่ต้องการสื่อสาร เช่น เตือนฝูงให้ทราบเมื่อรังถูกโจมตี หรือบอกเส้นทางที่จะนำไปสู่แหล่งอาหาร เป็นต้น



5. SURVIVAL RAFTS



                    หนึ่งในฉากเด่นจากเรื่อง Ant Man ที่เราเห็นแล้วแอบขำ แต่ความจริงแล้วมดมันต่อตัวเป็นแพลอยน้ำได้จริงๆ นอกจากจะใช้เพื่อเดินทางข้ามน้ำที่ขวางอยู่แล้วยังใช้เป็นแพชูชีพในยามที่เกิดเหตุน้ำท่วมได้อีกด้วย



6. BITE POWER


 
                  ข้อนี้ใครเคยโดนมดตะนอยกัดมาน่าจะรู้ซึ้งดี แทบจะรู้ซึ้งถึงวลีที่ว่า "ทนหน่อย เจ็บนิดเดียวเหมือนมดกัด" นั้นมันโกหกทั้งเพ แถมถ้ามาเจอของจริงอย่าง "Bullet Ant" หรือมดกระสุนแล้วล่ะก็  คุณอาจถึงขั้นร้องขอชีวิตแน่ สมชื่อของมันคือต่อยเจ็บเหมือนโดนกระสุนปืนยิง ขนาดลำตัวก็ยาวตั้งแต่ 1.8-3 ซม.เลย พิษของมันแม้ไม่อันตรายถึงชีวิตแต่ก็ทำให้ผู้ถูกกัดถึงขั้นอัมพาตชั่วคราวไปเลย



7. TINY GARDENERS



                       นอกจากจะสร้างบ้านแล้ว มดยังชอบทำสวนด้วยนะ แปลกนิดนึงที่ว่าเป็นสวนเพลี้ยนี่แหละ นับเป็นการทำงานร่วมกับข้ามสปีชีส์ที่น่าสนใจไม่หยอก โดยเจ้ามดจะคอยดูแลเพลี้ยไม่ให้สัตว์นักล่าชนิดอื่นมาจับกิน ส่วนเจ้าเพลี้ยก็จะตอบแทนมดด้วยการให้น้ำหวานที่ได้จากการเกาะกินต้นไม้มานั่นเอง



8. BRIDGE BUILDERS

 


                   มดนั้นไม่ได้อยู่แค่บนดินเท่านั้น บางชนิดอาศัยทำรังบนต้นไม้ใบไม้ แล้วเมื่อถึงคราวต้องสัญจรข้ามระหว่างใบไม้หรือข้ามสิ่งกีดขวาง พวกมันก็จะต่อตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นทางยาวเพื่อสร้างสะพานมด แถมมันยังเกาะอยู่ได้นานเป็นชั่วโมงอีกด้วย ซึ่งหากลองเป็นมนุษย์ล่ะก็คงได้แค่ไม่กี่นาทีแน่ๆ



9. COLONY CONTROL




              มดนั้นอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก แต่ละตัวจะแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน ตั้งแต่มดงาน มดลาดตระเวน มดทหาร และราชินี ทั้งหมดนี้ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง พวกมันต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเพื่ออยู่รอด และทุกหน้าที่มีความสำคัญอย่างเท่าเทียมกัน นั่นจึงทำให้มดเป็นสัตว์สังคมที่มีความซับซ้อนที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง



10. SAUSAGE FLIES



               ในสังคมของมดแล้ว มดตัวผู้นั้นถือว่ามีประโยชน์น้อยที่สุด พวกมันคงอยู่เพียงเพื่อผสมพันธุ์ (แล้วก็ตายอย่างรวดเร็ว) แต่ก็มีบ้างที่ได้มีส่วนร่วมในงานป้องกันรัง และเลี้ยงดูตัวอ่อนมดแรกเกิด ความพิเศษของมดตัวผู้อีกอย่างคือจะมีปีกบินได้ ใช้บินสำรวจตรวจตราบริเวณรอบๆ ลำตัวของมันจะมีขนาดใหญ่มากจนมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “sausage flies”


ที่มา http://campus.truelife.com/detail/3318545

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

5 สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดยโสธร


1 พระธาตุยโสธร



                  ตั้งอยู่ภายในเขตเทศบาลเมือง โบราณสถานที่สำคัญในวัดคือพระพุทธบุษยรัตน์ หรือพระแก้วหยดน้ำค้าง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะสมัยเชียงแสน เป็นพระบูชาคู่บ้านคู่เมืองของยโสธรที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้า ฯ พระราชทานให้พระสุนทรราชวงศาเจ้าเมืองยโสธรคนแรก

                  พระธาตุยโสธร หรือพระธาตุอานนท์ ตั้งอยู่หน้าอุโบสถ เป็นพระธาตุรุ่นเก่าที่สำคัญองค์หนึ่งในภาคอีสาน เจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมส่วนยอดคล้ายพระธาตุพนม ภายในพระธาตุบรรจุอัฐิธาตุของพระอานนท์ การก่อสร้างได้รับอิทธิพลศิลปะลาวที่นิยมสร้างขึ้นเมื่อปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาถึงต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งตรงกับประวัติการตั้งเมืองและประวัติของวัดมหาธาตุฉบับหนึ่งว่า สร้างราว พ.ศ.2321 โดยท้าวหน้า ท้าวคำสิงห์ ท้าวคำผา ซึ่งเดิมเป็นเสนาบดีเก่าของกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) ต่อมาได้อพยพผู้คนภายใต้การนำของพระวอ พระตา ราว พ.ศ. 2313-2319 มาตั้งถิ่นฐาน ณ ที่นี้

                  ลักษณะพระธาตุ ฐานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวด้านละ 81 เมตร ก่ออิฐถือปูนเอวฐานคอดเป็นรูปบัวคว่ำบัวหงาย เหนือขึ้นไปเป็นเรือนธาตุ มีซุ้ม 4 ทิศ ประดิษฐานพระพุทธรูปประทับยืน ส่วนยอดธาตุมียอดปลีเล็กแซมทั้ง 4 ด้าน ยอดกลางทรงสี่เหลี่ยมสอบ มี 2 ชั้น รูปแบบการก่อสร้างคล้ายกับพระธาตุก่องข้าวน้อยและทางวัดจะจัดให้มีงานสมโภชพระธาตุอานนท์ขึ้นเป็นประจำทุกปีในเดือนมีนาคม

                  หอไตร เป็นที่เก็บคัมภีร์ใบลานของวัด ตั้งอยู่ตรงกลางสระทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระธาตุ แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ลักษณะแบบหอไตรภาคอีสานทั่วไป มีทางเดินโดยรอบติดกันใต้ชายคา บริเวณนี้เป็นที่เก็บรักษาตู้พระธรรม หีบพระธรรม เสลี่ยงชั้นวางคัมภีร์ซึ่งนำมาจากเวียงจันทน์ ซุ้มประตูและบานประตูไม้สลักลวดลายเครือเถาลงรักปิดทองอย่างสวยงาม การตกแต่งฝาผนังมีลวดลาย ซึ่งเป็นลักษณะผสมแบบภาคกลางสันนิษฐานว่า หอไตรน่าจะสร้างขึ้นประมาณสมัยรัชกาลที่ 4-5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์


2   บ้านสิงห์ท่า


                   บริเวณคุ้มบ้านสิงห์ท่า ซึ่งตั้งอยู่ภายในเขตเทศบาลเมืองเป็นย่านเมืองเก่าที่ปรากฏนามอยู่ในประวัติศาสตร์การก่อตั้งเมืองปัจจุบันในบริเวณดังกล่าวยังคงมีตึกแถวโบราณที่มีรูปทรงและลวดลายงดงามและได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีซึ่งเหมาะแก่การท่องเที่ยวด้านศิลปวัฒนธรรมพื้นเมือง

3  ภูถ้ำพระ


                    ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านกุดแห่ หรือกุดแห ตำบลกุดเชียงหมี ห่างจากอำเภอเลิงนกทา 12 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 212 และห่างจากอำเภอเมือง 85 กิโลเมตร ที่เรียกว่า “ภูถ้ำพระ” เนื่องจากมีพระพุทธรูปอยู่ในถ้ำจำนวนมาก ถ้ำพระนี้เป็นถ้ำใหญ่กว้างประมาณ 3 วา ยาวประมาณ 8 วา ตั้งอยู่ชะง่อนภูด้านทิศใต้ มีทางเข้าไปตามซอกหินเป็นอุโมงค์ จากปากถ้ำเลยไปทางทิศเหนือ สามารถเดินลอดไปได้บนภูเขาลูกนี้นอกจากจะมีบรรยากาศร่มเย็นและร่มรื่นไปด้วยป่าไม้หนาทึบแล้ว บริเวณโดยรอบยังมีถ้ำอื่นๆ อีก อาทิ ถ้ำเค็ง ถ้ำงูซวง ถ้ำเกลี้ยง และถ้ำพรหมบุตร


4   พระพุทธบาตรยโสธร


                 ตั้งอยู่ที่วัดพระพุทธบาทยโสธร บ้านหนองยาง ตำบลหัวเมือง ห่างจากที่ว่าการอำเภอประมาณ 6 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 2083 ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทเป็นเนินทรายขาวสูงงอกขึ้นกลางพื้นที่ลุ่มน้ำชีนับเป็นโบราณวัตถุอันล้ำค่าของจังหวัด บริเวณเดียวกันนี้ยังมีโบราณวัตถุอีกชิ้นหนึ่ง ได้แก่ พระพุทธรูปปางนาคปรก (ศิลาแลง) 1 องค์ ขนาดหน้าตักกว้าง 1 ศอก และหลักศิลาจารึกทำด้วยศิลาแลง 1 หลัก สูง 1 เมตร กว้าง 50 เซ็นติเมตร มีตัวหนังสือโบราณบันทึกไว้ว่า โบราณวัตถุทั้ง 3 อย่างนี้ พระมหาอุตตปัญญาและสิทธิวิหาริก ได้นำมาจากกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 1378 นอกจากนั้นก็เขียนบอกคำนมัสการพระพุทธบาทไว้ บางตัวก็อ่านไม่ออกเพราะเลือนลางมาก ในระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน ของทุกปี จะมีประชาชนจากอำเภอและตำบลใกล้เคียงไปนมัสการเป็นจำนวนมาก

5  พระธาตุก่องข้าน้อย


                 ตั้งอยู่ในทุ่งนา ตำบลตาดทอง ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 9 กม. ไปตามทางหลวงหมายเลข 23 (ยโสธร-อุบลราชธานี) ประมาณหลักกิโลเมตรที่ 194 เลี้ยวซ้ายไปอีก 1 กิโลเมตร

                 พระธาตุก่องข้าวน้อยเป็นเจดีย์เก่าสมัยขอม สร้างในพุทธศตวรรษที่ 23-25 ตรงกับสมัยอยุธยาตอนปลาย ตั้งอยู่ในเขตวัดพระธาตุก่องข้าวน้อย ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงทุ่งนาในเขตตำบลตาดทอง พระธาตุก่องข้าวน้อยเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน รูปทรงแปลกไปจากเจดีย์โดยทั่วไป คือมีลักษณะเป็นก่องข้าว องค์พระธาตุเป็นเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมไม้สาม ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ 2 เมตร ก่อสูงขึ้นไปประมาณ 1 เมตร ช่วงกลางขององค์พระธาตุมีลวดลายทำเป็นซุ้มประตูทั้งสี่ด้าน ถัดจากช่วงนี้ไปเป็นส่วนยอดของเจดีย์ที่ค่อยๆ สอบเข้าหากัน ส่วนยอดรอบนอกของพระธาตุก่องข้าวน้อยมีกำแพงอิฐล้อมรอบขนาด 5x5 เมตร นอกจากนี้บริเวณด้านหลังพระธาตุมีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่งก่อด้วยอิฐ ชาวบ้านนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก และในเดือนห้าจะมีผู้คนนิยมมาสรงน้ำพระและปิดทอง ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าไม่ทำเช่นนี้ฝนจะแล้งในปีนั้น

                พระธาตุก่องข้าวน้อยมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ ซึ่งผิดไปจากปูชนียสถานแห่งอื่นๆ ที่มักเกี่ยวพันกับเรื่องพุทธศาสนา แต่ประวัติความเป็นมาของพระธาตุก่องข้าวน้อยกลับเป็นเรื่องของหนุ่มชาวนาที่ทำนาตั้งแต่เช้าจนเพล มารดาส่งข้าวสายเกิดหิวข้าวจนตาลาย อารมณ์ชั่ววูบทำให้เขากระทำมาตุฆาตด้วยสาเหตุเพียงว่าข้าวที่เอามาส่งดูจะน้อยไปไม่พอกิน ครั้นเมื่อกินข้าวอิ่มแล้ว ข้าวยังไม่หมดจึงได้สติคิดสำนึกผิดที่กระทำรุนแรงต่อมารดาของตนเองจนถึงแก่ความตาย จึงได้สร้างพระธาตุก่องข้าวน้อยแห่งนี้ขึ้น เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลขออโหสิกรรมและล้างบาปที่ตนกระทำมาตุฆาต

                นอกจากนี้ที่บริเวณบ้านตาดทอง กรมศิลปากรได้ดำเนินการขุดค้นเรื่องราวของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ได้ค้นพบโครงกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และภาชนะลายเขียนสีแบบบ้านเชียงซึ่งกรมศิลปากรกำลังดำเนินการจัดตั้งอุทยานก่อนประวัติศาสตร์ขึ้น

ที่มา thai.tourismthailand.org
       


ท่าเตะพื้นฐานของเทควันโด


               เทคนิคการเตะของกีฬาเทควันโด นับว่าเป็นการเตะที่ classic ที่สุดในโลก ไม่นับการเตะที่หนักที่สุดในโลกคือ มวยไทย และท่าเตะที่คมที่สุดในโลก คือ คาราเต้

               แต่จุดเด่นของการเตะแบบ เทควันโด คือท่าเตะที่สวยงาม หรือบางคนอาจจะเรียกว่าเท่ห์ก็ได้ การเตะแบบเทควันโดยังเป็นการเตะที่มีความเร็ว และต้องอาศํยการฝึกที่ต้องความพยายาม และอาศัยสะโพกเป็นหลักในการส่งแรง อาศัยขาที่มีกล้ามเนื้อที่ยืดหยุ่นสูงในการเตะเพื่อสร้างกำลังและการเตะที่สมบูรณ์


ท่าเตะด้านหน้าของเทควันโด (Front Kick)


                 เน้นการยกเข่าข้างที่เตะให้สูง ยิ่งยกเข่าหรือแทงเข่าเร็วมากเท่าใดการเตะก็เร็วตามไปด้วยนะครับ และย่อเข่าข่างที่ยืดเล็กน้อยครับเพื่อการทรงตัวที่ดี เหยียดขาให้เต็มที่โดยใช้กำลังไปที่สะโพกและให้หลังเท้าเป็นอาวุธในการใช้ต่อสู้ครับ และพับขากลับด้วยความเร็วครับ เพื่อเตรียมตัวในการเตะครั้งต่อไปครับ


ท่าเตะด้านข้างของเทควันโด (Side Kick)


                  เน้นการยกเข่าข้างที่เตะ ยิ่งยกเข่าหรือแทงเข่าเร็วมากเท่าใดการเตะก็เร็วตามไปด้วยเช่นกัน และพลิกตัวให้สันเท้าชี้ไปหาเป้าหมาย ในลักษณะสันเท้าใกล้สะโพกพร้อมขาที่พับอยู่ ขนานกับพื้น ออกแรงทีบไปหาเป้าหมายให้เร็ว และหันหน้าตามองผ่านไหล่ และพับขากลับมาในท่าเริ่มต้น


ท่าเตะตวัดของเทควันโด (Round Kick)



                เช่นกัน เน้นการยกเข่าหรือแทงเข่าที่เร็ว พร้อมขาท่อนล่างเป็นจุดหมุนบิดสะโพกส่งแรงเตะตวัดออกไป อาวุธที่ใช้คือที่หลังเท้า หรือเป็นจมูกเท้า และพับขากลับมาในท่าเริ่มต้น


ท่าเตะกลับหลังของเทควันโด (Back Kick)



                พลิกตัวกลับหันหลัง พร้อมหันหน้ามองผ่านไหล่ ย่อตัวเล็กน้อยและยกเท้าขึ้นพร้อมพับเข่า หันฝ่าเท้าออกไปหาเป้าหมาย ทีบเท้าออกไปด้วยกำลังที่ส่งมาจากสะโพก พับขากลับมาอยู่ในท่าเริ่มต้น


ท่าเตะเหยียบลงของเทควันโด(Chop Kick)


                ยกเข่าสูงหรือแทงเข่าสูง พร้อมเหยียดเท้าให้สูง และตบลงอย่างรวดเร็ว โดยใช้ฝ่าเท้าตบลงสู่เป้าหมาย หรือบางคนอาจจะใช้ส้นเท้าฟันลงที่เป้าหมาย


เตะตวัดหลังของเทควันโด (Swing Back Kick)


                 หมุนตัวไปทางที่จะเตะเปิดเท้า ยกสะโพกไปทางเท้าเป้าหมาย ออกแรงตวัดเท้า พร้อมพับเข่างอเพื่อใช้ส้นเท้าฟาดไปที่เป้าหมายที่ใบหน้า หรือเป้าหมายตามที่ต้องการ


เตะเกี่ยวของเทควันโด (Hook Kick) (Swing Back Kick)


                  ยกขาข้างที่เตะลักษณะแบบเดียวกับการเตะ Side Kick และตวัดเท้าออกด้านนอก และออกแรงตบผ่าเท้าหรือส้นเท้า เข้าหาเป้าหมาย หรือตวัดเท้ากลับมาตำแหน่งเดิม


ที่มา http://www.floydtraining.com/%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94/

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558

10 อันดับประเทศที่ระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก

10 อันดับประเทศที่ระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก

                เพียร์สันบริษัทสำนักพิมพ์และให้บริการทางด้านการศึกษาของประเทศอังกฤษ ได้เผยรายงานการจัดอันดับเกี่ยวกับผลการศึกษาซึ่งได้รับการรวบรวมโดยอิโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิท (อีไอยู)  และจากการจัดอันดับจาก 40 ประเทศทั่วโลก กับอันดับประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก จะมีประเทศไหนบ้างไปติดตามกันเลยคะ 10 อันดับประเทศที่ระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก


 10 อันดับประเทศที่ระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก

1. เกาหลีใต้

2. ญี่ปุ่น

3. สิงคโปร์

4. ฮ่องกง

5. ฟินแลนด์

6. สหราชอาณาจักร

7. แคนาดา

8. เนเธอร์แลนด์

9. ไอร์แลนด์

10. โปแลนด์

จากการจัดอันดับดังกล่าวนี้อันดับที่ 1 อย่างเกาหลีใต้ นั้นขยับขึ้นมาจากอันดับที่ 2 ในครั้งก่อน ในส่วนของประเทศฟินแลนด์แชมป์เก่าในปี 2012 นั้นตกไปอยู่ในอันดับที่ 5  โดย



ย้อนมาดู ทำไม? ประเทศฟินแลนด์ ถึงได้อันดับ 1  ระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก!

              ในขณะที่บ้านเรามีการแข่งขันทางด้านการศึกษาสูงขึ้นทุกทีๆ แต่ในขณะเดียวกันเด็กนักเรียนชาวฟินแลนด์ (ซึ่งได้รับอนุญาตให้เล่นในโรงเรียนโดยไม่ต้องเรียนหนังสือได้จนถึงอายุ 6 ขวบ) กลับได้รับการศึกษาที่ดีกว่า ระบบการศึกษาของประเทศฟินแลนด์ดีกว่าของประเทศอื่นอย่างไร?

              ทุก ๆ 3 ปี องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) จะทำการสำรวจคุณภาพระดับการศึกษาที่เรียกว่า PISA โดยวัดระดับทักษะในวิชาที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเล่นเชิงสร้างสรรค์ ได้แก่การอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ของเด็กอายุ 15 ปีวิชาเหล่านี้เป็นวิชาที่ชาวเอเชีย “น่าจะ” ถนัด เนื่องด้วยรูปแบบการเรียนการสอนที่มักเน้นสาขาวิชาเหล่านี้โดยเฉพาะ และก็ไม่แปลกที่จะเห็นประเทศจีน สิงคโปร์และเกาหลีใต้ติดอันดับต้น ๆ แต่ที่น่าแปลกใจคือทำไมเด็ก ๆ ชาวฟินแลนด์ ซึ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเล่นกลับติดอันดับกับเขาด้วย ทำให้เราสงสัยว่าระบบการศึกษาของฟินแลนด์นั้นมีอะไรพิเศษ? นอกจากนั้นฟินแลนด์ยังถูกจัดให้มีนักเรียนที่มีคุณภาพที่สุดในโลก อีกด้วย


ประเทศฟินแลนด์ ถึงได้อันดับ 1 ระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก


1. ไม่มีข้อสอบมาตรฐาน

             ในประเทศฟินแลนด์ ไม่มีการสอบมาตรฐาน เว้นแต่การสอบ National Matriculation Exam (ซึ่งคล้ายกับการสอบ O Level) ครูผู้สอนจะได้รับการฝึกให้ทดสอบนักเรียนด้วยการสอบในแบบของตนเอง รายงานผลการเรียนจะขึ้นอยู่กับคะแนนของนักเรียนแต่ละคน โดยไม่อิงค่าเฉลี่ยหรือคะแนนของนักเรียนคนอื่น ๆ

2. ไม่แข่งขัน

             ชาวฟินแลนด์มีทัศนคติพื้นฐานต่างจากชาวเอเชีย นั่นก็คือพวกเขาไม่ชอบเปรียบเทียบหรือแข่งขัน นักเขียนชาวฟินแลนด์คนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ผู้ชนะตัวจริงไม่แข่งขัน” แล้วเราจะวัดความเก่งกันได้อย่างไรโดยไม่ต้องแข่งขัน? คำตอบคือโดยเชื่อในความสามารถของตนเองและแข่งขันกับตนเอง ซึ่งนี่เป็นแนวความคิดที่แปลกประหลาดสำหรับชาวเอเชีย

3. เชื่อมั่นในตัวครู

             เด็ก ๆ ชาวฟินแลนด์เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ตามความสามารถและจังหวะของแต่ละคน โดยที่ครูจะปรับเปลี่ยนการสอนให้เข้ากับการเรียนของเด็ก ครูผู้สอนจะต้องผ่านการฝึกอบรมอย่างหนัก (ขั้นต่ำต้องจบปริญญาโท) แต่ละชั้นเรียนจะมีนักเรียนไม่มาก และอาชีพครูเป็นอาชีพที่ได้รับความเคารพอย่างสูง แม้ว่าระบบการศึกษาของฟินแลนด์จะไม่ได้สมบูรณ์แบบ และใช่ว่าผู้ปกครองชาวฟินแลนด์ทุกคนจะปลื้มระบบ แต่วิธีการดังกล่าวก็ทำให้การศึกษาของประเทศฟินแลนด์ให้ประสิทธิผลที่ดี

4. ทุกโรงเรียนเท่าเทียม

             การศึกษาของฟินแลนด์เริ่มต้นจากการมุ่งหวังให้เด็กทุกคนมีโอกาสเล่าเรียนเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะมีพื้นเพฐานะอย่างไร อาศัยอยู่ส่วนไหนของประเทศ แทนที่จะใช้การศึกษาเฟ้นหาเด็กที่เก่งที่สุด พวกเขากลับใช้การศึกษาสร้างความเท่าเทียมทางสังคม



ระบบการศึกษาของเกาหลี ยุคใหม่

ระบบการศึกษาของเกาหลี ยุคใหม่ มาแรงแซงโค้ง!

             ระบบการศึกษาของเกาหลียุคใหม่เป็นการจัดการศึกษาโดยสร้างระบบการศึกษาใหม่ (New Education System) เพื่อมุ่งสู่ ยุคสารสนเทศและโลกาภิวัตน์โดยเป้าหมายสูงสุดของระบบการศึกษาของเกาหลียุคใหม่ คือความเป็นรัฐสวัสดิการทางการศึกษา สร้างสังคมการศึกษาแบบเปิดและตลอดชีวิต ทำให้ชาวเกาหลีทุกคนสามารถใช้ประโยชน์จากการศึกษาได้ทุกเวลาและทุกสถานที่

            รัฐปรับโครงสร้างระบบการศึกษาระดับอาชีวศึกษาและเทคนิค นำเยาวชนเข้าสู่ชีวิตยุคสารสนเทศมีเสรีภาพที่จะถ่ายโอนการเรียน สามารถถ่ายโอนหน่วยกิตข้ามโรงเรียนหรือข้ามสถาบันการศึกษาตลอดจนข้ามสาขาวิชาได้ ณ วันนี้ระบบการศึกษาของเกาหลียุคใหม่ ได้ให้ความสำคัญแก่ผู้เรียน จัดให้มีโรงเรียนและการศึกษาเฉพาะทางหลายรูปแบบ เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถหาความรู้พัฒนาตนเองตามความสนใจ โรงเรียนมีอำนาจในการบริหารจัดการโดยการมีส่วนร่วมกับชุมชนและผู้ปกครองมากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่และอุปกรณ์ในระบบมัลติมีเดียช่วยให้บุคคลศึกษาหาความรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา รวมทั้งจัดตั้งบัณฑิตวิทยาลัยทางวิชาชีพ เพื่อพัฒนาวิชาชีพในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ

            กล่าวโดยสรุป เกาหลีได้สร้างระบบการศึกษาสมัยใหม่ ที่มุ่งพัฒนาเครือข่ายสารสนเทศเพื่อการเป็นสังคมแห่งความรู้ (Knowledge-based Society) สร้างสภาวะแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อให้คนเกาหลีมีความรู้ ความสามารถ มีความทันสมัย และที่สำคัญคือมีจริยธรรม แต่ยังคงความเป็นเลิศด้านการศึกษาและดำรงมาตรฐานของระบบการศึกษาของเกาหลีได้อีกด้วย

ที่มา   http://teen.mthai.com/education/79633.html
          http://th.theasianparent.com/
          http://upluskorea.com
          โพสต์ทูเดย์



ขอขอบคุณครับบบบบบ

10 สิ่งในธรรมชาติที่เรืองแสงได้ในที่มืด


10 สิ่งในธรรมชาติที่เรืองแสงได้ในที่มืด

1. หิ่งห้อย 


                 ทิ้งถ่วงมีอวัยวะทำแสงอยู่บริเวณส่วนท้องด้านล่าง เพศผู้มีอวัยวะทำแสง 2 ปล้อง เพศเมียมี 1 ปล้อง แต่บางชนิดตัวเต็มวัยเพศเมียมีรูปร่างลักษณะคล้ายหนอน มีอวัยวะทำแสงด้านข้างของลำตัว เกือบทุกปล้องแสงของทิ้งถ่วงเกิดจากปฏิกิริยาของสารลูซิเฟอริน (Luciferin) ที่อยู่ในอวัยวะทำแสงกับออกซิเจน มีเอนไซม์ลูซิเฟอเรส (Luciferase) เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา และมีสารอดีโนซีนไตรฟอสเฟต (Adenosine Triphosphate,ATP) เป็นตัวให้พลังงานทำให้เกิดแสง ทิ้งถ่วงกะพริบแสงเพื่อการผสมพันธุ์และสื่อสารซึ่งกันและกัน



2. แมงกระพรุนคริสตัล 


                  Aequorea Victoria เป็นที่รู้จักในนามแมงกะพรุนคริสตัลมีความโปร่งใส พบน้ำชายฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือ มีหนวด ซึ่งช่วยในการจับภาพของเหยื่อ มีโปรตีนที่เรียกว่า GFP ถูกนำมาใช้ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์อย่างการสร้างกระต่ายเรืองแสง นอกจากนี้ยังได้รับประโยชน์ในการศึกษากระบวนการของเซลล์เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกในวิธีการแก้ปัญหาสุขภาพที่รุนแรง



3. ปลาแองเกลอร์ 


                   ปลาแองเกลอมีขนาดรูปร่างไม่ใหญ่นัก รูปร่างที่ใหญ่ที่สุดที่เคยพบมาจะมีขนาดประมาณ 4 ฟุต ร่างเป็นทรงกลม ปากกว้างและมีฟันจำนวนมาก พวกมันใช้วิธีการ สร้างอวัยวะที่ทำหน้าที่พิเศษขึ้นมา ด้วยการดัดแปลง ครีบหลังอันแรกเป็นเส้นเนื้อโผล่ขึ้นมาบริเวณหัวดูคล้าย คันเบ็ดตกปลาบนหน้าผาก ปลายเบ็ดมีลักษณะเป็น กระเปาะเพื่อเก็บแบคทีเรียซึ่งเรืองแสงในที่มืดได้ นั่นคือ แบคทีเรียวิบริโอ ฟิสเชอรี เจ้ากระเปาะนี้จะมีชื่อว่า esca เมื่อปลาแองเกลอต้องการล่าเหยื่อ มันจะ กระตุ้นให้แบคทีเรียดังกล่าวเกิดการเรืองแสง พร้อมทั้ง แกว่งกระเปาะไปมา เหมือนเบ็ดตกปลาเพื่อใช้ในการล่อเหยื่อให้มาติดกับดัก เมื่อเหยื่อว่ายน้ำเข้ามาใกล้ๆ ปลาแองเกลอจะกินเหยื่อเป็นอาหารทันที่ ซึ่งพฤติกรรมในการล่าเหยื่อเช่นนี้ เป็นที่มาของชื่อ “Angler” ซึ่ง หมายถึง “ผู้ตกปลา”



4. ปลาออสทราคอดส์ 



จะพ่นแสงออกจากปากได้ เมื่อมันถูกคุกคาม


5. กิ้งกือแคลิฟอเนียร์ 



                    มีล้าตัวเรืองแสง และยิ่งมันถูกรบกวน แสงจะยิ่งสว่างขึ้น แถมมันยังปล่อยไซนาไนด์ที่เป็นพิษออกมาได้อีกด้วย
                   นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันพบกิ้งกือเรืองแสง คาดต้องจัดอยู่ในสกุล (genus) ใหม่ 
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 สำนักข่าวเอบีซี รายงานข่าวนักวิทยาศาสตร์จากสถาบัน Virginia Obispo 
รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา พบกิ้งกือ Xystocheir bistipita บริเวณเชิงเขา San Luis Obispo ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี กิ้งกือดังกล่าวเป็นกิ้งกือขนาดเล็กและตาบอด ยามกลางวันจะมีสีแทนและมีจุดสีชมพู (salmon pink spot) ขณะที่กลางคืนจะเรืองแสงสีเขียวแกมฟ้า เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาสารพันธุกรรมของ X. bistipita กลับพบว่ากิ้งกือสายพันธุ์นี้มีควรอยู่ในสกุล Motyxia ซึ่งเป็นกิ้งกือกลุ่มที่มีการเรืองแสงทางขีวภาพ (bioluminescence) นักวิทยาศาสตร์เตรียมเสนอให้เปลี่ยนชื่อจาก Xystocheir bistipita เป็น Motyxia bistipita
                    การศึกษากิ้งกือสายพันธุ์เรืองแสงพบว่าหากความสว่างมาก ร่างกายของกิ้งกือก็จะมีความเป็นพิษสูง การเรืองแสงของกิ้งกือจึงเป็นเสมือนการป้องกันตัวทางหนึ่ง ขณะที่ M. bistipita มีศัตรูผู้ล่าเป็นจำนวนน้อย นักวิทยาศาสตร์จึงตั้งข้อสันนิษฐานว่าปฏิกิริยาเคมีจากการเรืองแสงภายในร่างกาย (photoprotein) อาจช่วยกิ้งกือให้สามารถดำรงชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่อากาศร้อนและแห้งแล้งได้


6. หนอนรถไฟ 


จะเปล่งแสงเป็นจุด ที่มีด้วยกันถึง 8คู่ ท้าให้มันดูโดดเด่นในยามค่้าคืน



7. เห็ดทริปปี้ 
ถูกค้นพบในแถบป่าดงดิบของประเทศบราซิล มันสามารถเปล่งแสงได้อยู่ตลอดเวลา จนได้ฉายาว่า “แสงแห่งนิรันดร์”



8. เชื้อราลึกลับ 

มีฉายาว่า “แสงไฟแห่งป่า” ถูกพบในประเทศมาเลเซีย โดยมันมีขนาดเพียงแค่ 18 มิลลิเมตรเท่านั้น



9. หอยทากครัสเตอร์วิงค์




จะเปล่งแสงออกจากเปลือกของมัน เพื่อใช้ในการป้องกันตัวเอง



 10. เชื้อราเรืองแสง




                    โดยถ้ำนี้ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1887 โดย Fred Mace ชาวอังกฤษมีการการนำของหัวหน้าชาวเมารีในแถบนั้นชื่อ Tane Tinorau ต่อมามีการแพร่กระจายออกไปถึงความงามของถ้ำไวโตโม และหนอนเรืองแสง จึงมีผู้คนหลั่งไหลมาชมกันอย่างมากมายภายในถ้ำนั้นเป็นที่อยู่ของหนอนเรืองแสงนับล้านตัว ประกอบไปด้วย 3 ถ้ำหลักคือ Ruakuri Cave, Aranui Cave และ Gardner's Gut ทั้งหมดมีหินงอก หินย้อย และ หนอนเรืองแสงที่งดงามมากๆ

ที่มา  http://petmaya.com/glow-in-the-dark-nature

ขอบพระคุณครับ

ประโยชน์ของเกลือ



ประโยชน์ของเกลือ

http://hilight.kapook.com/img_cms2/varity_2/salt.jpg

ใช้ในห้องครัว

 ทดสอบความสดของไข่ไก่

                 เคยหรือไม่ที่ซื้อไข่ไก่มา แต่ไม่แน่ใจว่าไข่ที่ซื้อมานั้นสด สะอาดหรือไม่ ใส่เกลือ 2 ช้อนชาในน้ำสะอาดและแช่ไข่ทิ้งไว้ ถ้าไข่ได้สดจริงจะจมน้ำ แต่หากไข่นั้นไม่สดก็จะลอยน้ำ แต่การที่ไข่ลอยน้ำนี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นไข่เน่า เป็นเพียงแค่ไข่ที่สุกมากขึ้นเท่านั้นเอง

 ทำให้อาหารสุกเร็วขึ้น

                  เพราะเกลือช่วยให้อุณหภูมิของน้ำเดือดเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้น ถ้าคุณจะลวกไข่สักฟอง ให้ใส่เกลือลงไปด้วย จะทำให้ไข่สุกเร็วขึ้น และทำให้อาหารอื่น ๆ สุกเร็วขึ้นเช่นกัน

 ล้างผลไม้

                  โดยมากแล้วเรามักจะใช้น้ำมะนาว หรือน้ำส้มสายชู ในการล้างผลไม้ให้สดอยู่เสมอ แต่หากไม่มีทั้งสองอย่างนั้น ก็สามารถใช้น้ำที่ผสมเกลือล้างผลไม้แทนได้นะ

 แกะเปลือกถั่วได้ง่ายขึ้น

                    แช่ถั่วไว้ในน้ำที่ผสมเกลือไว้หลาย ๆ ชั่วโมงก่อนรับประทาน จะช่วยให้แกะเปลือกถั่วได้ง่ายขึ้นเยอะเลย

 กันไม่ให้น้ำตาลติดกันเป็นก้อน 

                    เหยาะเกลือเพียงเล็กน้อยบนน้ำตาลไอซิ่ง จะทำให้น้ำตาลไอซิ่งไม่จับตัวกันเป็นก้อน

 ขจัดกลิ่นที่ติดมือ

                   หากล้างมือด้วยสบู่ หรือน้ำสะอาดแล้วยังมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ติดมืออยู่ล่ะก็ ให้ใช้เกลือผสมกับน้ำส้มสายชูล้างมือแทน จะทำให้กลิ่นหายไปได้

 ยืดอายุชีส

                   หากมีชีสเหลืออยู่จากการทำอาหาร วิธีที่ทำให้วันหมดอายุของชีสยืดออกไปอีก ก็คือการนำชีสมาแช่ด้วยน้ำเกลือ ก่อนที่จะนำไปแช่เก็บไว้ในตู้เย็นต่อไป

 ลดคราบสกปรกบริเวณก้นหม้อได้

                   หลังการทำอาหาร บริเวณก้นหม้อมักจะเกิดคราบสกปรกอยู่เสมอ ดังนั้น จึงควรใส่เกลือหนึ่งกำมือ จะทำให้ลดคราบสิ่งสกปรกออกไปได้ และยังทำให้กลิ่นไม่พึงประสงค์จางหายไปด้วยเช่นกัน


ใช้เกี่ยวกับร่างกาย



http://static.weloveshopping.com/shop/client/000040/v-careskinshop/GlutaBahtSalt1.jpg


 ใช้กับแปรงสีฟันก็มีประโยชน์

                แช่แปรงสีฟันในน้ำผสมเกลือ ก่อนที่จะใช้งานครั้งแรกจะทำให้ขนแปรงมีความนิ่มและคงทนมากยิ่งขึ้น

 ช่วยทำความสะอาดฟัน

                  ยาสีฟันหลากหลายยี่ห้อต่างก็มีสูตรที่ผสมเกลือด้วยกันทั้งนั้น เพราะในเกลือมีสารที่ช่วยให้ฟันขาว สะอาด และแข็งแรงมากขึ้น

 ทำความสะอาดช่องปากก็ได้ผล

                   ผสมเกลือกับน้ำโซดา แล้วใช้บ้วนปากจะช่วยขจัดกลิ่นปากได้ นอกจากนั้นแล้วยังช่วยลดปัญหาการเกิดโรคและอาการในช่องปาก เช่น ฟันกร่อน เสียวฟัน ได้ดีอีกด้วย

 บรรเทาความปวดอันเนื่องมาจากการถูกผึ้งต่อย

                     ถ้าโดนผึ้งต่อยให้นำเกลือในปริมาณเล็กน้อยมาทาในบริเวณที่ถูกต่อย จะช่วยบรรเทาความปวดได้

 ป้องกันพิษจากยุงและไม้เลื้อยที่ทำให้คัน

                     แช่น้ำเกลือ และพอกด้วยเกลือผสมน้ำมันมะกอกในบริเวณที่ถูกยุงกัด หรือไปสัมผัสกับไม้เลื้อย จะช่วยให้ลดอาการคันเป็นอย่างดี

  ขัดผิวก็เข้าท่า

                     เกลือช่วยขจัดผิวให้มีความกระจ่างใสได้ ดังนั้นหลังจากที่อาบน้ำแล้ว นำเกลือมาขัดผิวและนวดคลึงเบา ๆ จะทำให้ผิวดูกระจ่างขึ้นมาทันที

 บรรเทาอาการเจ็บคอได้ด้วย

                    ผสมเกลือกับน้ำอุ่น แล้วกลั้วคอ จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บได้ดี

ใช้ในบริเวณบ้าน


http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/337/7337/images/soun3.jpg


 ขวางทางเดินของมด

                     เพื่อไม่ให้มดเดินเข้าไปทำรังในบ้านของคุณ โรยเกลือไว้ตามบริเวณประตู หน้าต่างหรือในที่ต่าง ๆ ที่มดสามารถเดินผ่านได้ แค่นี้มดก็จะลดน้อยลงนะ

 ป้องกันการเกิดเพลิงไหม้

                      ให้เก็บกล่องที่ใส่เกลือไว้ใกล้ ๆ กับอุปกรณ์เครื่องครัวและตู้อบต่าง ๆ เพราะหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เกลือสามารถที่จะดับไฟได้

 ลดการละลายของเทียน

                        ถ้าหากคุณนำเทียนแท่งใหม่ ๆ ที่ยังไม่ได้ใช้มาแช่ในน้ำที่ผสมเกลือ จากนั้นเมื่อเทียนแห้ง เทียนจะละลายได้น้อยลงเมื่อคุณจุดเทียนใช้ ถ้าไม่เชื่อลองดูได้เลย

 รักษาความสดของดอกไม้

                        เพื่อรักษาความสดของดอกไม้ให้ใส่เกลือลงไปในแจกัน วิธีนี้จะทำให้ดอกไม้มีความสดที่ยาวนานขึ้น

 ซ่อมกำแพง

                        กำแพงมีรอย หรือมีรู เกลือก็เป็นตัวช่วยที่ดีของคุณ ผสมเกลือ 2 ช้อนโต๊ะเข้ากับแป้งข้าวโพดอีก 2 ช้อนโต๊ะ ตามด้วยน้ำในปริมาณที่พอเหมาะ คนให้เข้ากัน เท่านี้ก็สามารถนำไปปิดรูหรือลบรอยบนกำแพงได้เลย

 กำจัดวัชพืชที่ไม่พึงประสงค์

                       กำจัดวัชพืชที่ขึ้นรกรุงรังตามลานบ้าน ทางเดิน ด้วยการโรยเกลือให้ทั่ว แล้วรดน้ำตามให้ทั่วหรือจะรอให้ฝนตกก็ได้ เพราะเกลือจะยับยั้งไม่ให้วัชพืชเจริญเติบโต

 ลดควันที่เกิดจากการย่างบาร์บีคิว

                       ถ้าการปาร์ตี้บาร์บีคิวสร้างควันมากมาย มาทำลายบรรยากาศให้เสียลงแล้วละก็ ใส่เกลือลงไปในกองไฟที่ใช้ย่างบาร์บีคิว จะช่วยให้ควันที่ออกมาลดน้อยลงไป


ใช้เพื่อการทำความสะอาด



http://www.3mbuildingfilm.com/img_cms/image/c72211.jpg

 ทำความสะอาดอ่างล้างจาน

                      เทเกลือผสมกับน้ำร้อนแล้วทำความสะอาดอ่างล้างจาน จะทำให้อ่างมีความสะอาด ไม่มีคราบของความสกปรก และกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์

 ทำความสะอาดแหวน

                     หากแหวนที่คุณสวมไม่เงาเหมือนแต่ก่อน ให้ใช้เกลือผสมกับน้ำมันพืชเช็ดแหวน เท่านี้แหวนของคุณก็จะกลับมาเงางามเช่นเดิม

ทำความสะอาดได้ทั้งกระทะและถ้วยต่าง ๆ ได้

                      หลังจากการประกอบอาหาร คราบสิ่งสกปรกต่าง ๆ มักจะติดตามอุปกรณ์เครื่องครัวอยู่เสมอ รวมไปถึงตามจานชามและถ้วยต่าง ๆ มากมาย ให้ใช้เกลือผสมน้ำยาล้างจานเช็ดล้าง ทำความสะอาด ก็จะทำให้คราบต่าง ๆ ออกง่ายขึ้น และล้างทำความสะอาดได้ดียิ่งขึ้น

 คราบในตู้เย็นก็จัดการได้

                      ผสมเกลือกับน้ำโซดาเข้าด้วยกัน ก็จะทำให้เช็ดล้าง ขจัดคราบที่อยู่ในตู้เย็นที่ไม่ได้ทำความสะอาดมานานออกได้ ซึ่งเป็นการป้องกันอาหารในตู้เย็นของคุณให้ห่างไกลจากเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี

 ทำความสะอาดทองเหลืองหรือทองแดง รวมไปถึงคราบสนิมก็ได้เช่นกัน

                        ขนาดคราบของสิ่งสกปรกตามกระทะ หม้อ และภาชนะอื่น ๆ ยังสามารถทำความสะอาด เครื่องครัวที่เป็นทองเหลือง ทองแดง หรือเป็นสนิมก็สามารถใช้เกลือทำความสะอาดได้เช่นกัน

 จัดการหม้อกาแฟให้สะอาดเอี่ยมก็เป็นเรื่องง่าย

                         ใส่เกลือและน้ำแข็งก้อนลงไปในหม้อกาแฟ จะช่วยให้ขัดคราบที่ติดอยู่ออกได้ง่ายมากยิ่งขึ้น


ใช้ซักรีดเสื้อผ้า


http://petmaya.com/wp-content/uploads/2015/06/salt-life-hack-01.jpg

 ขจัดคราบน้ำที่หกเลอะเสื้อ

                      โรยเกลือบริเวณคราบที่เลอะทิ้งไว้ก่อนที่จะนำไปซัก โดยเกลือจะทำหน้าที่ซึมซับคราบสกปรกเหล่านั้นออกไป จะทำให้ซักคราบส่วนนั้นออกได้ง่ายยิ่งขึ้น

 ช่วยเพิ่มให้สีเสื้อของผ้าสว่างมากยิ่งขึ้น

                      เกลือจะช่วยขจัดคราบสิ่งสกปรกที่ฝังอยู่ในเนื้อผ้า และจะทำให้สีเสื้อของผ้าสว่างมากยิ่งขึ้น

 จัดการกับคราบเหงื่อไคลที่ติดอยู่ได้อย่างชะงัด

                      ใส่เกลือ 4 ช้อนโต๊ะกับน้ำร้อนอีก 1 ส่วน และใช้ฟองน้ำเช็ดทำความสะอาด คราบเหงื่อไคลที่ติดอยู่ก็จะหลุดออกไปได้ง่ายมากขึ้น

 ผ้าที่มีคราบเลือด

                       จัดการกับคราบเลือดด้วยการแช่ในน้ำเย็นที่ผสมเกลือไว้แล้ว จากนั้นนำไปซักด้วยน้ำสบู่อุ่น ๆ และล้างด้วยน้ำเดือดอีกหลังจากซัก แต่วิธีนี้ควรใช้เฉพาะกับเนื้อผ้าที่เป็นคอตตอน ลินิน หรือเนื้อผ้าที่มีเส้นใยธรรมชาติเท่านั้น ถึงจะทนความร้อนที่สูงได้

 กำจัดเชื้อราก็ไม่ใช่ปัญหา

                       วิธีแก้ปัญหานี้ทำได้ไม่ยาก ด้วยการผสมน้ำมะนาวกับเกลือเข้าด้วยกันจากนั้นเทลงไปบริเวณที่เป็นเชื้อรา จากนั้นนำไปตากแดด ซักทำความสะอาด และแห้งตามปกติ

 ช่วยทำความสะอาดรอยเตารีด

                        หากคุณเผลอลืมวางเตารีดค้างบนเสื้อไว้นานเกินไป จนทำให้เสื้อเกิดรอยเตารีด ก็ไม่ต้องตกใจไป วิธีแก้ง่าย ๆ ก็คือโรยเกลือลงบนแผ่นกระดาษและใช้เตารีด รีดทับรอยนั้นไปอีกที

                        ได้รู้ถึงประโยชน์ที่มากมายของเกลือธรรมดา ๆ นี้แล้ว บอกได้เลยว่าเป็นความรู้ดี ๆ ที่ควรจะรู้ไว้เป็นอย่างยิ่ง ของเขา "เค็มแต่ดี" จริง ๆ



ที่มา http://hilight.kapook.com/view/59384

ขอบคุณครับ ^^

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เศรษฐกิจประเทศลาว

เศรษฐกิจประเทศลาว

http://61.47.41.107/w/images/70.jpg

                  เศรษฐกิจของประเทศลาวเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยรัฐบาลลดการควบคุมจากส่วนกลางและกระตุ้นการลงทุนของเอกชนตั้งแต่ พ.ศ. 2529 ลาวเป็นประเทศที่ผลิตพลังงานและส่งไปขายให้จีน เวียดนาม และไทยแม้จะยังเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 


ประวัติ
                   
                  หลังจากเข้าสู่อำนาจใน พ.ศ. 2518 รัฐบาลคอมมิวนิสต์ได้นำระบบเศรษฐกิจแบบโซเวียตมาใช้ โดยแทนที่การลงทุนของเอกชนด้วยการลงทุนของรัฐและสหกรณ์ การลงทุนมาจากศูนย์กลางทั้งการผลิต การค้าและการกำนดราคา และสร้างระบบกั้นขวางการค้าภายในกับภายนอกประเทศ หลังจากใช้ระบบเศรษฐกิจนี้ไปไม่นาน พบว่าเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาจนต้องมีการปฏิรูป เปลี่ยนการกำหนดราคาจากการกำหนดโดยรัฐมาเป็นมาเป็นตามกลไกตลาด อนุญาตให้เกษตรกรยึดครองที่ดินและขายผลผลิตทางการเกษตรได้ ยกเลิกการกีดกันสินค้าจากภายนอก

ใน พ.ศ. 2532 ลาวได้บรรลุข้อตกลงกับธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ในด้านการปฏิรูปเศรษฐกิจ สนับสนุนการลงทุนของเอกชน ลาวยอมรับความช่วยเหลือจากออสเตรเลียในการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมระหว่างเวียงจันทน์กับหนองคาย ในช่วงที่เกิดวิกฤติการเงินในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อ พ.ศ. 2540 ลาวได้รับผลกระทบโดยค่าเงินกีบลดลง ใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบเงินฝืดซึ่งทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพใน พ.ศ. 2543

นอกจากการเพาะปลูกทางการเกษตรแล้ว ในลาวมีการลงทุนทางอุตสาหกรรมที่ประสบความสำเร็จ เช่น เครื่องยนต์ เบียร์ กาแฟ และการท่องเที่ยว โดยได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐ ญี่ปุ่นและเยอรมัน


สถานภาพทั่วไปทางด้านเศรษฐกิจ

                     ภาวะเศรษฐกิจของประเทศลาวมีพัฒนาการที่ดีตามลำดับ โดยในช่วง 20 ปีนับตั้งแต่ปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมสู่ระบบเศรษฐกิจเสรีการตลาดเมื่อปี 2529 ประเทศลาวมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 6.2 ต่อปี ประชากรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากประมาณ 200 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อปี 2529 เป็น 491 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2548 ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวในอัตราไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 10 ต่อปี อาชีพหลักของชาวลาว คือเกษตรกร รวมถึงประมงและป่าไม้ รองลงมาคืองานบริการและอุตสาหกรรม

สินค้าเกษตร
ข้าว ข้าวโพด พืชตระกูลถั่ว อ้อย กาแฟ

อุตสาหกรรมหลักในประเทศ
อุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้า เป็นสาขาหลักที่สร้างรายได้ให้แก่ประเทศ


สินค้าส่งออก
สินค้าส่งออกที่สำคัญของลาวได้แก่ เสื้อผ้าสำเร็จรูป ไม้ซุง ไม้แปรรูป ผลิตภัณฑ์ไม้ สินแร่ เศษโลหะ ถ่านหิน หนังดิบ และหนังฟอก ข้าวโพด ใบยาสูบ กาแฟ

สินค้านำเข้า
รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกล เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน อาหาร ผ้าผืน สารเคมี และเครื่องอุปโภคบริโภค

ทรัพยากรที่สำคัญ
ไม้ ดีบุก ยิปซัม ตะกั่ว หินเกลือ เหล็ก ถ่านหินลิกไนต์ สังกะสี ทองคำ อัญมณี หินอ่อน น้ำมัน และแหล่งน้ำผลิตไฟฟ้า

เมืองสำคัญด้านเศรษฐกิจ


เวียงจันทน์
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhnNSj44Wyq-jwdOMqhT9YNAYAh0pJgu4_ti3RWEOyiJdjQCOgMvEtnGIMntSkyhPn9vk457uADUfIKq6gJpO01TV-aQwRLNiNvDnh_ZPDge03ZmF6PYpf2UeuPImZ0leHsDzLmMFd1_4M/s1600/IMG_8848.jpg

                     เป็นเมืองหลวงของสปป.ลาว เดิมเรียกว่ากำแพงนครเวียงจันทน์ตั้งอยู่ตอน กลางของประเทศ มีพื้นที่ 3.9 พันตารางกิโลเมตร เป็นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงตรงข้ามกับอำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย เป็นศูนย์กลางด้านการเมือง วัฒนธรรมและเศรษฐกิจของประเทศ ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวด้วย มีย่านไชน่าทาวน์ และห้างสรรพสินค้าซึ่งเป็นตลาดสินค้าจากไทย จีนและเวียดนามวางจำหน่ายเป็นจำนวนมาก ถือได้ว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางธุรกิจของสปป.ลาวตอนกลาง



 หลวงพระบาง

http://www.itchyfeetthai.com/wp-content/uploads/2014/08/shutterstock_123695470.jpg

                     เป็นแขวงสำคัญทางตอนเหนือของประเทศ มีพื้นที่ 1.7 หมื่นตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ทางเหนือของนครเวียงจันทน์ ระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร เชื่อมต่อถึงกันด้วยทางหลวงหมายเลข 13 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 – 10 ชั่วโมงถนนอยู่ในสภาพที่ไม่ดีนัก มีเครื่องบินจากนครเวียงจันทน์ถึงหลวงพระบางโดยสายการบินลาว ใช้เวลาบินประมาณ 45 นาที มีประชากรประมาณ 4.2 แสนคน ได้รับการประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลกในปี 2541 จากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ซึ่ง ทำให้เมืองหลวงพระบางเป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วโลกเกี่ยวกับการอนุรักษ์ โบราณสถาน และสิ่งปลูกสร้างสำคัญทางประวัติศาสตร์ รวมทั้งธรรมชาติสิ่งแวดล้อมที่งดงาม ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศและเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางธุรกิจของสปป.ลาวตอนเหนือ



สะหวันนะเขต
http://sv6.postjung.com/picpost/data/207/207941-509cfeff17d12.jpg

                 เป็นแขวงสำคัญทางภาคใต้ของประเทศมีพื้นที่ 21,774 ตารางกิโลเมตร จึงเป็นแขวงที่ใหญ่อันดับ 2 ของสปป.ลาวอยู่ตรงข้ามจังหวัดมุกดาหารมีแม่น้ำโขงเป็นเส้นกั้นเขตแดนและมีสะพานมิตรภาพ 2 เชื่อมโยงไทย-ลาว โดยมีเส้นทางหมายเลข 9 ที่สามารถเดินทางไป เมืองดองฮา และ ท่าเรือน้ำลึกดานังของ เวียดนาม ด้วยเหตุนี้แขวงสะหวันนะเขตจึงเป็นเมืองที่มีความสำคัญด้านการค้าและรวมไป ถึงการส่งสินค้าผ่านแดน ระหว่างเมืองเมาะลำไยของพม่ากับแขวงสะหวันนะเขตเพื่อผ่านไปท่าเรือน้ำลึก ดานังของเวียดนามซึ่งมีระยะทางประมาณ 1,450 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคม East-West Economic Corridor หรือ EWEC ภายใต้ กรอบพัฒนาเศรษฐกิจสังคม 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงหรือ GMS ซึ่งเป็นทางบกที่สั้นที่สุดที่สามารถเชื่อมทะเลอันดามันกับทะเลจีนใต้


ขอขอบคุณครับผม ^_^